“สูงอายุไทย” เจอภาวะเกษียณก่อน 60 ไร้งานเร่ร่อนรอข้าวแจก

ผู้สูงอายุไทยกับการทำงาน และรายได้หลักเกษียณ เป็นปัญหาที่ภาครัฐยังตั้งรับไม่ทัน เช่นเดียวกับ ลุงอนันท์ (สงวนนามสกุล) วัย 59 ปี แม้ยังไม่ถึงเกณฑ์เกษียณอายุ แต่ถูกปฏิเสธจากนายจ้าง ทำให้ไม่มีเงิน จนต้องไปเป็นคนเร่ร่อน กินนอนในพื้นที่ถนนราชดำเนิน ก่อนได้รับการช่วยเหลือจากมูลนิธิกระจกเงา ในโครงการจ้างวานข้า มีรายได้ประมาณเดือนละ 1 หมื่นบาท ทำให้ชีวิตมีความหวัง ไม่รู้สึกไร้ค่าอย่างที่เคยเป็น

ลุงอนันท์ เล่าถึงอาชีพพนักงานขับรถส่งของที่ทำมาเกือบครึ่งชีวิตว่า หลายครั้งคิดจะเก็บเงินเพื่อใช้ช่วงบั้นปลายชีวิต แต่ไม่สามารถทำได้ ด้วยความที่ลาออกจากที่ทำบ่อย ทำให้ไม่ได้ส่งกองทุนประกันสังคม บวกกับอายุที่เข้าสู่ช่วงวัย 50 ปีต้นๆ ไม่สามารถขับรถส่งของได้ในระยะทางไกล และเกิดการแพร่ระบาดของโควิดขึ้น เลยหันมาประกอบอาชีพพนักงานรักษาความปลอดภัย แต่เมื่ออายุเกิน 55 ปี บริษัทรักษาความปลอดภัยส่วนใหญ่เลิกจ้าง จึงต้องกลายไปเป็นคนเร่ร่อนไร้บ้าน รออาหารแจกจากผู้ใจบุญ

ระหว่างเป็นคนเร่ร่อนที่ไร้ความหวัง มูลนิธิกระจกเงา มีโครงการจ้างผู้สูงอายุมาช่วยทำความสะอาด จึงมาเข้าร่วม และเริ่มพัฒนาศักยภาพของตนเองในการทำงาน หลังจากที่ก่อนหน้านั้นถูกปฏิเสธจากนายจ้างมาตลอด เพราะอายุใกล้วัยเกษียณ

ช่วงที่เป็นคนเร่ร่อนพยายามลงทะเบียนขอความช่วยเหลือ และหางานจากหน่วยงานราชการ แต่ยังไม่ได้งานทำ จนตัวเองรู้สึกท้อ กลายเป็นคนไร้ค่า พอมูลนิธิกระจกเงา เข้ามาช่วยเหลือ ก็เริ่มค่อยๆ เก็บเงิน เช่าห้องอยู่ และเริ่มเก็บเงินมากขึ้น เพราะเราเองก็อยากพัฒนาศักยภาพในการหาทุน เพื่อไปค้าขาย และไม่อยากกลับไปเร่ร่อนเหมือนเดิมอีก

กระบวนการพัฒนาศักยภาพ และรายได้ของมูลนิธิกระจกเงา เป็นกระบวนการที่เริ่มจากให้ไปทำงานง่ายๆ เช่น กวาดถนน ทำงานทำความสะอาดในพื้นที่สาธารณะ และมีเจ้าหน้าที่คอยดูว่าคนไหนมีศักยภาพ โดยจะเลือกเข้ามาทำงานในมูลนิธิฯ เพื่อดูว่ามีความถนัดด้านไหน เช่น เป็นช่างซ่อมไฟฟ้า ซ่อมบำรุง มีการให้เข้าไปทำงานในหน่วยนั้น เพื่อคัดแยกสิ่งของที่มีคนมาบริจาค ช่วงแรกมีที่พักให้ แต่หลังจากนั้นพอมีเงินเดือนประจำสามารถไปเช่าห้องอยู่เป็นส่วนตัว ถือเป็นกระบวนการคัดแยกศักยภาพของผู้สูงอายุ ที่เข้ามาทำงาน จึงแตกต่างจากหน่วยงานรัฐ ที่เข้ามาถามและให้ลงทะเบียนและรอ แต่ไม่มีกระบวนการคัดเลือกตามความถนัดที่แท้จริง