เบาหวาน เบาจริงเหมือนชื่อหรือไม่ ?

เบาหวาน มาจากคำว่า ‘เบา’ กับคำว่า ‘หวาน’ เบาก็คือปัสสาวะ ส่วนหวานในที่นี้หมายถึงการมีน้ำตาลผสมอยู่ ดังนั้น เบาหวาน จึงความหมายว่า ปัสสาวะหวาน เพราะมีน้ำตาลในปัสสาวะ เกิดจากร่างกายมีระดับน้ำตาลสูงผิดปกติ ซึ่งร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ตามปกติ ทั้งนี้ โรคเบาหวานเป็นหนึ่งในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs: Non–Communicable Diseases) คือ โรคที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคและไม่มีการติดต่อระหว่างคนสู่คน

โรคเบาหวาน 4 ชนิด แบ่งตามสาเหตุของโรค ดังนี้

  • โรคเบาหวานชนิดที่ 1

เป็นโรคที่เกิดจากเบต้าเซลล์ของตับอ่อนถูกทำลายโดยภูมิคุ้มกันของร่างกาย มักพบในเด็ก คนอายุน้อย รูปร่างไม่อ้วน อาการของโรค คือ ปัสสาวะมาก กระหายน้ำมาก อ่อนเพลีย น้ำหนักลด บางครั้งอาการของโรคอาจเกิดรวดเร็วและรุนแรง เช่น เกิดภาวะเลือดเป็นกรดจากสารคีโตนคั่ง

  • โรคเบาหวานชนิดที่ 2

เบาหวานชนิดนี้เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด พบประมาณร้อยละ 95 ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด พยาธิสภาพที่สำคัญซึ่งพบในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 นี้ คือมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ร่วมกับการที่เบต้าเซลล์ของตับอ่อนถูกทำลาย ทำให้อินซูลินลดลงเรื่อยๆ มักพบในคนอายุ 30 ปีขึ้นไป รูปร่างท้วมหรืออ้วน อาการมักไม่ค่อยรุนแรง เป็นแบบค่อยๆ เป็น สาเหตุของการเกิดโรคเบาหวานประเภทที่ 2 นี้ เป็นผลร่วมกันระหว่างปัจจัยทางพันธุกรรมร่วมกับปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม น้ำหนักตัวที่มาก การขาดการออกกำลังกาย

  • โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

เกิดจากการที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลินมากขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ สาเหตุเกิดจากฮอร์โมนที่หลั่งมาจากรก และระดับฮอร์โมนต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป ภาวะเบาหวานชนิดนี้มักจะเป็นภาวะเบาหวานแอบแฝง คือ ถ้าอดอาหารแล้วมาเจาะเลือดเพื่อดูระดับน้ำตาล ระดับน้ำตาลจะปกติ แต่ถ้าให้หญิงมีครรภ์ดื่มน้ำหวานเพื่อทดสอบความคงทนต่อน้ำตาลในเลือด (Oral glucose tolerance test) ร่างกายจะไม่สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ โดยทั่วไปโรคเบาหวานชนิดนี้มักจะหายได้หลังคลอด

  • โรคเบาหวานที่มีสาเหตุจำเพาะ

เป็นโรคเบาหวานที่มีสาเหตุชัดเจน ได้แก่ โรคเบาหวานที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม (MODY-Maturity-Onset Diabetes of the Young) โรคเบาหวานที่เกิดจากโรคของตับอ่อน หรือจากยา หรือโรคเบาหวานที่พบร่วมกับกลุ่มอาการต่าง ๆ เช่น Down syndrome, Turner syndrome, Prader-Willi syndrome

สัญญาณเตือนของโรคเบาหวาน

  • น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • เหนื่อยง่าย
  • หิวบ่อย
  • ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ
  • ชาปลายมือปลายเท้า
  • เป็นแผลแล้วหายช้า
  • อ่อนเพลีย ไม่มีแรง

แนวทางการรักษาโรคเบาหวาน

  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิต โดยเฉพาะการควบคุมอาหาร และการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • การใช้ยา ควรจะเป็นลำดับสุดท้ายในการรักษาโรคเบาหวาน หากผู้ป่วยเบาหวานไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้จากการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย จำเป็นต้องใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยที่ยาที่ใช้ในการรักษามีหลายกลุ่มทั้งยากินและยาฉีด ขึ้นอยู่กับระดับน้ำตาลในเลือดและสภาวะเจ็บป่วยอื่น ๆ ที่พบร่วมด้วย

อย่างไรก็ตาม ทุกคนไม่ควรละเลยโรคเบาหวาน เพราะเป็นหนึ่งในโรคที่ตายผ่อนส่ง ทำลายสุขภาพและจิตใจ หากสงสัยว่าจะเป็นโรคเบาหวานหรือมีอาการและมีความเสี่ยงควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาต่อไป