คณะสหเวชศาสตร์ จัดตั้งขึ้นในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปี พ.ศ. 2534 โดยแยกภาควิชาเทคนิคการแพทย์ สังกัดคณะแพทยศาสตร์ ออกมาจัดตั้งเป็นคณะฯ ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่มที่ 108 ตอนที่ 199 หน้า 64-65 วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2534 การถือกำเนิดของคณะสหเวชศาสตร์ เป็นผลสืบเนื่องมาจาก การพัฒนาการของหลักสูตรเทคนิคการแพทย์ ในคณะแพทยศาสตร์ จุุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดังนั้นการทำความเข้าใจถึงประวัติของหลักสูตรนี้ทั้งช่วงก่อนและภายหลังการจัดตั้งคณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะทำให้เข้าใจเรื่องราวของคณะสหเวชศาสตร์ได้ดีขึ้นดังเรื่องราวโดยสังเขป ดังต่อไปนี้

เทคนิคการแพทย์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

พ.ศ. 2502-2514

หลักสูตรเทคนิคการแพทย์เปิดตัวขึ้นครั้งแรกในประเทศไทยในระดับอนุปริญญา 3 ปีเมื่อปี พ.ศ. 2498 ในมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ แยกการเรียนการสอนออกเป็น 2 สถานที่คือที่โรงพยาบาลศิริราชและที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มีการสร้างอาคารเทคนิคการแพทย์ในทั้งสองโรงพยาบาล ด้วยทุนสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา อาคารทั้งสองมีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมเหมือนกัน เพียงแต่กลับด้านคล้ายเงาในกระจกของกันและกัน ในเวลาต่อมาอาคารเทคนิคการแพทย์ที่โรงพยาบาลศิริราชเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ เหลือเฉพาะอาคารเทคนิคการแพทย์ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เพียงแห่งเดียว ในส่วนของอาคารเทคนิคการแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ออกแบบแล้วเสร็จเมื่อ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 ใช้เวลาก่อสร้างหนึ่งปี วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2501 จึงเปิดใช้พื้นที่บางส่วน เพื่อบริการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ด้านจุลทรรศน์ศาสตร์คลินิกและเคมีคลินิก แก่ผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โดยมี ศาสตราจารย์ นายแพทย์เชวง เดชะไกศยะ เป็น ผู้ดูแลรับผิดชอบ ปีต่อมาจึงเริ่มดำเนินงานด้านการเรียนการสอน บทบาทของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ต่อการผลิตบุคลากรทางเทคนิคการแพทย์จึงเริ่มต้น ในปี พ.ศ. 2502 และดำเนินการมาจนกระทั่ง การถือกำเนิดของคณะสหเวชศาสตร์ มีรายละเอียดดังนี้

พ.ศ. 2502 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เริ่มให้บริการการเรียนการสอนหลักสูตรเทคนิคการแพทย์ระดับอนุปริญญา 3 ปี ภายใต้สังกัดมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข การเรียนการสอนหลักสูตรในระดับอนุปริญญานี้ในส่วนของโรงพยาบาลศิริราชดำเนิน การเพียงช่วงเวลาสั้นๆ จากนั้นจึงปรับเป็นหลักสูตรระดับปริญญาตรี 4 ปีในปี พ.ศ. 2503 ในขณะที่การเรียนการสอนในส่วนของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ยังคงเป็นระดับอนุ ปริญญานานกว่าสิบปีกระทั่งปรับเป็นระดับปริญญาตรี 4 ปีในปีการศึกษา 2513

พ.ศ. 2510 มีการโอนคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ พร้อมการเรียนการสอนในหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต ที่ดำเนินการในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มาขึ้นสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตาม การเรียนการสอนในส่วนของหลักสูตรเทคนิคการแพทย์ ระดับอนุปริญญา 3 ปี รวมทั้งนักศึกษาเทคนิคการแพทย์ที่ศึกษา ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ตลอดจนอาคารเทคนิคการแพทย์ยังคงขึ้นสังกัดอยู่กับมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ดังเดิม

พ.ศ. 2513 มหาวิทยาลัยมหิดล (มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์เดิมซึ่งได้รับพระราชทานนามใหม่ในปี พ.ศ. 2512) ภายใต้สังกัดใหม่คือทบวงมหาวิทยาลัยยกเลิกหลักสูตรเทคนิคการแพทย์ระดับอนุปริญญา 3 ปีในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และนำเอาหลักสูตรเทคนิคการแพทย์ระดับปริญญาตรี 4 ปีซึ่งใช้อยู่ในโรงพยาบาลศิริราชมาใช้แทน

เทคนิคการแพทย์ภายใต้สังกัดคณะแพทยศาสตร์

พ.ศ. 2514- 2534

คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้ามาดูแลการเรียนการสอนหลักสูตรเทคนิคการแพทย์ระดับปริญญาตรี 4 ปี ในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แทนมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นครั้งแรกในปีการศึกษา 2514 โดยใช้หลักสูตรเดียวกันกับมหาวิทยาลัยมหิดลซึ่งเป็นหลักสูตรที่เปิดในปี พ.ศ. 2503 และประกาศใช้ในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ปี พ.ศ. 2513 ในขณะนั้นอาคารเทคนิคการแพทย์ในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ตลอดจนบุคลากรบางส่วนยัง อยู่ภายใต้สังกัดมหาวิทยาลัยมหิดล

พ.ศ. 2514 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งมีข้อตกลงกับมหาวิทยาลัยมหิดลทำการรับโอนนักศึกษา คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล ชั้นปีที่ 2 จำนวน 30 คนที่เข้าศึกษาในปีการศึกษา 2512 และประสงค์จะขึ้นสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้เข้าศึกษาต่อในหลัก สูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต (วท.บ.) สาขาเทคนิคการแพทย์ ชั้นปีที่ 3 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในแผนกวิชาเวชศาสตร์ชันสูตร ซึ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ในภาควิชาพยาธิวิทยา นิสิตชุดนี้คือบัณฑิตหลักสูตร วท.บ.เทคนิคการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รุ่นที่ 1 บทบาทของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยต่อการผลิตบัณฑิตสาขาเทคนิคการแพทย์ได้เริ่ม ต้นขึ้นอย่างเต็มตัว

ปลายปีนี้เองเกิดการปฏิวัติการปกครองแผ่นดินขึ้น คณะปฏิวัติมีประกาศจัดตั้งภาควิชาเวชศาสตร์ชันสูตรขึ้นในคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้มีหน้าที่จัดการเรียนการสอนด้านเทคนิคการแพทย์ และให้บริการทางห้องปฏิบัติการแก่ผู้ป่วยนอกและในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ทั้งมีประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 22 ลงวันที่ 18 ธันวาคม 2514 ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน หนี้สิน ข้าราชการ ลูกจ้างและงบประมาณของมหาวิทยาลัยมหิดลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับราชการของคณะ เทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล เฉพาะส่วนที่อยู่ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ไปเป็นของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาคารเทคนิคการแพทย์และครุภัณฑ์ในอาคารจึงตกเป็นทรัพย์สินของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นับแต่นั้น

พ.ศ. 2515 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปิดรับนิสิตหลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต (วท.บ.) สาขาเทคนิคการแพทย์ชั้นปีที่ 1 เป็นปีแรก ทั้งรับโอนนักศึกษาหลักสูตร วท.บ.เทคนิคการแพทย์ของคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดลที่เข้าศึกษาในปีการศึกษา 2513 และ 2514 เฉพาะส่วนที่เรียนอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ให้มาเป็นนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 2 และ 3 เพิ่มเติมจากที่เคยรับนักศึกษาที่เข้าศึกษาในปีการศึกษา 2512 มาก่อนหน้านั้นซึ่งในเวลานั้นกำลังศึกษาในชั้นปีที่ 4

พ.ศ. 2516 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผลิตบัณฑิตในสาขาเทคนิคการแพทย์ จำนวน 25 คน นับเป็นบัณฑิตเทคนิคการแพทย์รุ่นแรกภายใต้สังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

พ.ศ. 2524 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ยาใจ ณ สงขลา คณบดี) แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการจัดตั้งภาควิชาเทคนิคการแพทย์ขึ้นตามแผนพัฒนา จุฬาลงกรณ์ ระยะที่ 5 (คำสั่งที่ 294/2524 ลงวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2524)

พ.ศ. 2527 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำโครงการการจัดตั้งคณะเทคนิคการแพทย์ (คำสั่งที่ 19/2527 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธุ์ พ.ศ. 2527) เพื่อแยกภาควิชาเทคนิคการแพทย์ที่กำลังจะเกิดขึ้นออกจากคณะแพทยศาสตร์ยกขึ้น เป็นคณะภายในแผนพัฒนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระยะที่ 6 (พ.ศ.2530-2534) ปีเดียวกันนี้เองภาควิชาเทคนิคการแพทย์ได้ถือกำเนิดขึ้นในคณะแพทยศาสตร์ เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2527 (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 101 ตอนที่ 88 ลงวันที่ 10 กรกฏาคม พ.ศ. 2527) โดยมีอาจารย์จำนง ภูมิภักดิ์ ทำ หน้าที่รักษาการหัวหน้าภาควิชาตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2527 มีการโอนข้าราชการ จำนวน 19 อัตราจากภาควิชาเวชศาสตร์ชันสูตรไปขึ้นสังกัดภาควิชาเทคนิคการแพทย์ที่ตั้ง ขึ้นใหม่ เป็นอาจารย์ 16 คน เจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์ 2 คนและพนักงานธุรการ 1 คน บุคลากรกลุ่มนี้ต่อมาภายหลังกลายเป็นบุคลากรเริ่มต้นของคณะสหเวชศาสตร์ที่จะ ถือกำเนิดขึ้นในอนาคต

ในปี พ.ศ. 2527 นี้มีการก่อสร้างอาคารใหม่เชื่อมกับอาคารเทคนิคการแพทย์ (อาคาร14) มีชื่อว่าอาคารเหลืองอมรเลิศ เป็นอาคารขนาดเล็กสูง 3 ชั้น ทำให้ภาควิชาเทคนิคการแพทย์มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นจาก 727 ตารางเมตรเป็น 807 ตารางเมตร

วันที่ 28 ธันวาคม ผู้ช่วยศาสตราจารย์กล้าหาญ ตันติราษฎร์ ได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาเทคนิคการแพทย์ และหมดวาระลงในวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2531

พ.ศ. 2529 คณะแพทยศาสตร์ (ศาสตราจารย์ นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา คณบดี) จัดตั้งคณะกรรมการโครงการ จัดตั้งคณะสหเวชศาสตร์ขึ้นแทนคณะกรรมการโครงการ จัดตั้งคณะเทคนิคการแพทย์ โดยยึดกรอบระยะเวลาสำเร็จของโครงการไว้ภายในแผนพัฒนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระยะที่ 6 (พ.ศ. 2530-2534) ดังเดิม

ก่อนหน้านี้เมื่อโครงการจัดตั้งคณะเทคนิคการแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับการบรรจุไว้ในแผนพัฒนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระยะที่ 6 แล้ว มีการปรึกษาหารือระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับทบวงมหาวิทยาลัย ได้ข้อสรุปร่วมกันว่าคณะวิชาที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ควรประกอบด้วยหลายสาขาวิชา ในกลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ ได้แก่ สาขาวิชาเทคนิคการแพทย์ สาขาวิชากายภาพบำบัด สาขาวิชารังสีเทคนิค พร้อมทั้งพิจารณาชื่อใหม่ของคณะกระทั่งได้ชื่อว่า “คณะสหเวชศาสตร์” มีชื่อภาษาอังกฤษว่า “The Faculty of Allied Health Sciences” มีการกำหนดวัตถุประสงค์เฉพาะไว้ว่าเพื่อรับผิดชอบการผลิตบัณฑิตสาขาวิชา เทคนิคการแพทย์ ปีละ 60 คน สาขาวิชากายภาพบำบัดปีละ 30 คน สาขาวิชารังสีเทคนิคปีละ 30 คน โดยจะต้องเพิ่มจำนวนการผลิตบัณฑิตขึ้นตามความต้องการด้านการพัฒนาสาธารณสุข ของประเทศ

พ.ศ. 2531 วันที่ 28 ธันวาคม รองศาสตราจารย์ ดร.รัชนา ศานติยานนท์ ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาเทคนิคการแพทย์ และหมดวาระลงเมื่อมีการจัดตั้งคณะสหเวชศาสตร์ขึ้นตอนปลายปี พ.ศ. 2534

พ.ศ. 2532 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ศาสตราจารย์ นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา อธิการบดี) เห็นชอบการจัดตั้งคณะสหเวชศาสตร์ ตามข้อเสนอของคณะแพทยศาสตร์ (รองศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรเทอง รัชตะปิติ คณบดี ศาสตราจารย์ แพทย์หญิง ท่านผู้หญิงศรีจิตรา บุนนาค รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา ในฐานะประธานโครงการจัดตั้งคณะสหเวชศาสตร์)

พ.ศ. 2533 คณะกรรมการทบวงมหาวิทยาลัย มีมติในการประชุมครั้งที่ 6/2533 วันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2533 เห็นชอบให้จัดตั้งคณะสหเวชศาสตร์ ขึ้นในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นับเป็นคณะสหเวชศาสตร์แห่งแรกของประเทศไทย

พ.ศ. 2534 วันที่ 15 พฤศจิกายน มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งคณะสหเวชศาสตร์ขึ้นในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีเหตุผลเพื่อสนับสนุนการผลิตบัณฑิต การวิจัย และการบริการในกลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพสาขาต่างๆ มีการโอนย้ายบุคลากรจากภาควิชาเทคนิคการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ ไปขึ้นสังกัดคณะสหเวชศาสตร์ที่เกิดขึ้นใหม่ การดำเนินงานของคณะวิชาใหม่เริ่มขึ้นหลังวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ด้วยเหตุนี้เองชาวคณะสหเวชศาสตร์จึงกำหนดวันที่ 16 พฤศจิกายน ของทุกปีเป็นวันคล้ายวันถือกำเนิดของคณะสหเวชศาสตร์ ในระยะแรก รองศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรเทอง รัชตะปิติ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ รับหน้าที่รักษาการคณบดีคณะสหเวชศาสตร์เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 เป็นต้นไป

วันที่ 27 พฤศจิกายน 2534 ทบวงมหาวิทยาลัยมีประกาศที่ ทม. 0204/33395 แบ่งส่วนราชการในคณะสหเวชศาสตร์ออกเป็นฝ่ายต่างๆ ได้แก่ สำนักงานเลขานุการ ภาควิชากายภาพบำบัด ภาควิชาเคมีคลินิก ภาควิชาจุลทรรศน์ศาสตร์คลินิก ภาควิชารังสีเทคนิค ภาควิชาเวชศาสตร์การธนาคารเลือด และหน่วยปฏิบัติการบริการวิทยาศาสตร์สุขภาพ

การเรียนการสอนในหลักสูตรเทคนิคการแพทย์ในคณะสหเวชศาสตร์อยู่ภายใต้การ จัดการของ 3 ภาควิชา ได้แก่ ภาควิชาเคมีคลินิก ภาควิชาจุลทรรศน์ศาสตร์คลินิก และภาควิชาเวชศาสตร์การธนาคารเลือด โดยคณะแพทยศาสตร์มอบหมายให้หลายภาควิชาในคณะแพทยศาสตร์สนับสนุนการจัดการ เรียนการสอนในบางสาขาวิชาของหลักสูตรเทคนิคการแพทย์ คณะสหเวชศาสตร์ และทำการยุบภาควิชาเทคนิคการแพทย์ในเวลาต่อมา นิสิตที่เข้าศึกษาในปีการศึกษา 2534 จึงนับเป็นนิสิตหลักสูตรเทคนิคการแพทย์ปีสุดท้ายภายใต้สังกัดคณะแพทยศาสตร์

คณะสหเวชศาสตร์ในทศวรรษแรก

พ.ศ. 2535-2544

คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้ามาดูแลการเรียนการสอนหลักสูตรเทคนิคการแพทย์ระดับปริญญาตรี 4 ปี ในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แทนมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นครั้งแรกในปีการศึกษา 2514 โดยใช้หลักสูตรเดียวกันกับมหาวิทยาลัยมหิดลซึ่งเป็นหลักสูตรที่เปิดในปี พ.ศ. 2503 และประกาศใช้ในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ปี พ.ศ. 2513 ในขณะนั้นอาคารเทคนิคการแพทย์ในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ตลอดจนบุคลากรบางส่วนยัง อยู่ภายใต้สังกัดมหาวิทยาลัยมหิดล

พ.ศ. 2514 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งมีข้อตกลงกับมหาวิทยาลัยมหิดลทำการรับโอนนักศึกษา คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล ชั้นปีที่ 2 จำนวน 30 คนที่เข้าศึกษาในปีการศึกษา 2512 และประสงค์จะขึ้นสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้เข้าศึกษาต่อในหลัก สูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต (วท.บ.) สาขาเทคนิคการแพทย์ ชั้นปีที่ 3 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในแผนกวิชาเวชศาสตร์ชันสูตร ซึ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ในภาควิชาพยาธิวิทยา นิสิตชุดนี้คือบัณฑิตหลักสูตร วท.บ.เทคนิคการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รุ่นที่ 1 บทบาทของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยต่อการผลิตบัณฑิตสาขาเทคนิคการแพทย์ได้เริ่ม ต้นขึ้นอย่างเต็มตัว

ปลายปีนี้เองเกิดการปฏิวัติการปกครองแผ่นดินขึ้น คณะปฏิวัติมีประกาศจัดตั้งภาควิชาเวชศาสตร์ชันสูตรขึ้นในคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้มีหน้าที่จัดการเรียนการสอนด้านเทคนิคการแพทย์ และให้บริการทางห้องปฏิบัติการแก่ผู้ป่วยนอกและในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ทั้งมีประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 22 ลงวันที่ 18 ธันวาคม 2514 ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน หนี้สิน ข้าราชการ ลูกจ้างและงบประมาณของมหาวิทยาลัยมหิดลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับราชการของคณะ เทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล เฉพาะส่วนที่อยู่ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ไปเป็นของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาคารเทคนิคการแพทย์และครุภัณฑ์ในอาคารจึงตกเป็นทรัพย์สินของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นับแต่นั้น

พ.ศ. 2515 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปิดรับนิสิตหลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต (วท.บ.) สาขาเทคนิคการแพทย์ชั้นปีที่ 1 เป็นปีแรก ทั้งรับโอนนักศึกษาหลักสูตร วท.บ.เทคนิคการแพทย์ของคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดลที่เข้าศึกษาในปีการศึกษา 2513 และ 2514 เฉพาะส่วนที่เรียนอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ให้มาเป็นนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 2 และ 3 เพิ่มเติมจากที่เคยรับนักศึกษาที่เข้าศึกษาในปีการศึกษา 2512 มาก่อนหน้านั้นซึ่งในเวลานั้นกำลังศึกษาในชั้นปีที่ 4

พ.ศ. 2516 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผลิตบัณฑิตในสาขาเทคนิคการแพทย์ จำนวน 25 คน นับเป็นบัณฑิตเทคนิคการแพทย์รุ่นแรกภายใต้สังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

พ.ศ. 2524 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ยาใจ ณ สงขลา คณบดี) แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการจัดตั้งภาควิชาเทคนิคการแพทย์ขึ้นตามแผนพัฒนา จุฬาลงกรณ์ ระยะที่ 5 (คำสั่งที่ 294/2524 ลงวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2524)

พ.ศ. 2527 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำโครงการการจัดตั้งคณะเทคนิคการแพทย์ (คำสั่งที่ 19/2527 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธุ์ พ.ศ. 2527) เพื่อแยกภาควิชาเทคนิคการแพทย์ที่กำลังจะเกิดขึ้นออกจากคณะแพทยศาสตร์ยกขึ้น เป็นคณะภายในแผนพัฒนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระยะที่ 6 (พ.ศ. 2530-2534) ปีเดียวกันนี้เองภาควิชาเทคนิคการแพทย์ได้ถือกำเนิดขึ้นในคณะแพทยศาสตร์ เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2527 (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 101 ตอนที่ 88 ลงวันที่ 10 กรกฏาคม พ.ศ. 2527) โดยมีอาจารย์จำนง ภูมิภักดิ์ ทำ หน้าที่รักษาการหัวหน้าภาควิชาตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2527 มีการโอนข้าราชการ จำนวน 19 อัตราจากภาควิชาเวชศาสตร์ชันสูตรไปขึ้นสังกัดภาควิชาเทคนิคการแพทย์ที่ตั้ง ขึ้นใหม่ เป็นอาจารย์ 16 คน เจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์ 2 คนและพนักงานธุรการ 1 คน บุคลากรกลุ่มนี้ต่อมาภายหลังกลายเป็นบุคลากรเริ่มต้นของคณะสหเวชศาสตร์ที่จะ ถือกำเนิดขึ้นในอนาคต

ในปี พ.ศ. 2527 นี้มีการก่อสร้างอาคารใหม่เชื่อมกับอาคารเทคนิคการแพทย์ (อาคาร14) มีชื่อว่าอาคารเหลืองอมรเลิศ เป็นอาคารขนาดเล็กสูง 3 ชั้น ทำให้ภาควิชาเทคนิคการแพทย์มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นจาก 727 ตารางเมตรเป็น 807 ตารางเมตร

วันที่ 28 ธันวาคม ผู้ช่วยศาสตราจารย์กล้าหาญ ตันติราษฎร์ ได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาเทคนิคการแพทย์ และหมดวาระลงในวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2531

พ.ศ. 2529 คณะแพทยศาสตร์ (ศาสตราจารย์ นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา คณบดี) จัดตั้งคณะกรรมการโครงการ จัดตั้งคณะสหเวชศาสตร์ขึ้นแทนคณะกรรมการโครงการ จัดตั้งคณะเทคนิคการแพทย์ โดยยึดกรอบระยะเวลาสำเร็จของโครงการไว้ภายในแผนพัฒนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระยะที่ 6 (พ.ศ. 2530-2534) ดังเดิม

ก่อนหน้านี้เมื่อโครงการจัดตั้งคณะเทคนิคการแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับการบรรจุไว้ในแผนพัฒนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระยะที่ 6 แล้ว มีการปรึกษาหารือระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับทบวงมหาวิทยาลัย ได้ข้อสรุปร่วมกันว่าคณะวิชาที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ควรประกอบด้วยหลายสาขาวิชา ในกลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ ได้แก่ สาขาวิชาเทคนิคการแพทย์ สาขาวิชากายภาพบำบัด สาขาวิชารังสีเทคนิค พร้อมทั้งพิจารณาชื่อใหม่ของคณะกระทั่งได้ชื่อว่า “คณะสหเวชศาสตร์” มีชื่อภาษาอังกฤษว่า “The Faculty of Allied Health Sciences” มีการกำหนดวัตถุประสงค์เฉพาะไว้ว่าเพื่อรับผิดชอบการผลิตบัณฑิตสาขาวิชา เทคนิคการแพทย์ ปีละ 60 คน สาขาวิชากายภาพบำบัดปีละ 30 คน สาขาวิชารังสีเทคนิคปีละ 30 คน โดยจะต้องเพิ่มจำนวนการผลิตบัณฑิตขึ้นตามความต้องการด้านการพัฒนาสาธารณสุข ของประเทศ

พ.ศ. 2531 วันที่ 28 ธันวาคม รองศาสตราจารย์ ดร.รัชนา ศานติยานนท์ ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาเทคนิคการแพทย์ และหมดวาระลงเมื่อมีการจัดตั้งคณะสหเวชศาสตร์ขึ้นตอนปลายปี พ.ศ.2534

พ.ศ. 2532 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ศาสตราจารย์ นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา อธิการบดี) เห็นชอบการจัดตั้งคณะสหเวชศาสตร์ ตามข้อเสนอของคณะแพทยศาสตร์ (รองศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรเทอง รัชตะปิติ คณบดี ศาสตราจารย์ แพทย์หญิง ท่านผู้หญิงศรีจิตรา บุนนาค รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา ในฐานะประธานโครงการจัดตั้งคณะสหเวชศาสตร์)

พ.ศ. 2533 คณะกรรมการทบวงมหาวิทยาลัย มีมติในการประชุมครั้งที่ 6/2533 วันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ.2533 เห็นชอบให้จัดตั้งคณะสหเวชศาสตร์ ขึ้นในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นับเป็นคณะสหเวชศาสตร์แห่งแรกของประเทศไทย

พ.ศ. 2534 วันที่ 15 พฤศจิกายน มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งคณะสหเวชศาสตร์ขึ้นในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีเหตุผลเพื่อสนับสนุนการผลิตบัณฑิต การวิจัย และการบริการในกลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพสาขาต่างๆ มีการโอนย้ายบุคลากรจากภาควิชาเทคนิคการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ ไปขึ้นสังกัดคณะสหเวชศาสตร์ที่เกิดขึ้นใหม่ การดำเนินงานของคณะวิชาใหม่เริ่มขึ้นหลังวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ด้วยเหตุนี้เองชาวคณะสหเวชศาสตร์จึงกำหนดวันที่ 16 พฤศจิกายน ของทุกปีเป็นวันคล้ายวันถือกำเนิดของคณะสหเวชศาสตร์ ในระยะแรก รองศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรเทอง รัชตะปิติ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ รับหน้าที่รักษาการคณบดีคณะสหเวชศาสตร์เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 เป็นต้นไป

วันที่ 27 พฤศจิกายน 2534 ทบวงมหาวิทยาลัยมีประกาศที่ ทม. 0204/33395 แบ่งส่วนราชการในคณะสหเวชศาสตร์ออกเป็นฝ่ายต่างๆ ได้แก่ สำนักงานเลขานุการ ภาควิชากายภาพบำบัด ภาควิชาเคมีคลินิก ภาควิชาจุลทรรศน์ศาสตร์คลินิก ภาควิชารังสีเทคนิค ภาควิชาเวชศาสตร์การธนาคารเลือด และหน่วยปฏิบัติการบริการวิทยาศาสตร์สุขภาพ

การเรียนการสอนในหลักสูตรเทคนิคการแพทย์ในคณะสหเวชศาสตร์อยู่ภายใต้การ จัดการของ 3 ภาควิชา ได้แก่ ภาควิชาเคมีคลินิก ภาควิชาจุลทรรศน์ศาสตร์คลินิก และภาควิชาเวชศาสตร์การธนาคารเลือด โดยคณะแพทยศาสตร์มอบหมายให้หลายภาควิชาในคณะแพทยศาสตร์สนับสนุนการจัดการ เรียนการสอนในบางสาขาวิชาของหลักสูตรเทคนิคการแพทย์ คณะสหเวชศาสตร์ และทำการยุบภาควิชาเทคนิคการแพทย์ในเวลาต่อมา นิสิตที่เข้าศึกษาในปีการศึกษา 2534 จึงนับเป็นนิสิตหลักสูตรเทคนิคการแพทย์ปีสุดท้ายภายใต้สังกัดคณะแพทยศาสตร์

คณะสหเวชศาสตร์ยุคครึ่งทศวรรษที่สอง

พ.ศ. 2545-2549

ยุคครึ่งทศวรรษที่สองนับเป็นยุคเติบโตอย่างก้าวกระโดดของคณะสหเวชศาสตร์ ทั้งด้านจำนวนนิสิต งบประมาณ รายได้ การพัฒนาวิชาการ งานวิจัยและการบริการวิชาการ ตลอดจนการขยายตัวทางด้านพื้นที่ใช้สอย อันเป็นผลมาจากปัจจัยเกื้อหนุนหลายประการ คณะฯมีกิจกรรมในระดับนานาชาติเกิดขึ้นในช่วงนี้หลายครั้ง ซึ่งอาจสรุปได้โดยสังเขปดังต่อไปนี้

พ.ศ. 2545 คณะฯจัดอบรมวิชาการด้านผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แก่นักธุรกิจและประชาชนทั่วไป ขึ้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 22-26 เมษายน ณ คณะวิทยาศาสตร์ มีผู้เข้ารับการอบรมจำนวน 158 คน

วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2545 คณะฯได้รับมอบพื้นที่ชั้น 1 ของอาคาร 4 บริเวณวิทยาลัยพลศึกษาที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒคืนแก่จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย (อาคารนี้มีชื่อเรียกในเวลาต่อมาว่า “อาคารจุฬาพัฒน์ 4”) จำนวน 820 ตารางเมตร โดยมหาวิทยาลัยมอบงบประมาณในส่วนของงบพัฒนาภาควิชาเพื่อใช้ในการปรับปรุง พื้นที่เป็นห้องปฏิบัติการของหลักสูตรเทคนิคการแพทย์จำนวน 2 ห้อง

พ.ศ.2546 คณะฯเริ่มเข้าใช้พื้นที่ของอาคารจุฬาพัฒน์ 4 โดยภาควิชาเคมีคลินิกและภาควิชาจุลทรรศน์ศาสตร์คลินิกย้ายห้องปฏิบัติการและ ห้องพักคณาจารย์ทั้งหมดจากอาคาร 14 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มาใช้พื้นที่นี้ในภาคต้น พื้นที่บริเวณนี้ทางมหาวิทยาลัยกำหนดให้เป็นพื้นที่ใหม่ของคณะสหเวชศาสตร์ในอนาคต

มหาวิทยาลัยเริ่มทำการก่อสร้างอาคารจุฬาพัฒน์ 1 ซึ่งเป็นอาคารใหม่ของคณะฯ พื้นที่ 3,794 ตารางเมตร

วันที่ 27 พฤษภาคม คณะฯได้รับมอบอาคารล็อกเกอร์ (จุฬาพัฒน์ 6) พื้นที่ 310 ตารางเมตร จากมหาวิทยาลัยเพื่อใช้เป็นอาคารศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล ตามเงื่อนไขการรับการสนับสนุนด้านงบประมาณจากคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลา ล อาคารนี้ทำการปรับปรุงจนแล้วเสร็จเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2547

คณะฯ จัดการประชุมวิชาการทางสหเวชศาสตร์ครั้งที่ 4 ขึ้นระหว่างวันที่ 4-6 สิงหาคม โดยวันที่ 4 สิงหาคม จัด ณ คณะครุศาสตร์ เป็นการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ 150 ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีผู้เข้าร่วม 358 คน ส่วนวันที่ 5-6 สิงหาคม จัดขึ้น ณ โรงแรมเดอะทวินทาวเวอร์ กรุงเทพฯ มีผู้เข้าร่วมประชุม 440 คน มีร้านค้าร่วมแสดงนิทรรศการ 17 ร้าน

ภาคต้น ปีการศึกษา 2546 ภาควิชาจุลทรรศน์ศาสตร์คลินิก เริ่มเปิดสอนหมวดวิชาปรสิตวิทยา เพื่อทดแทนการเรียนการสอนหมวดวิชานี้ในคณะแพทยศาสตร์

วันที่ 13 สิงหาคม คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณปี พ.ศ. 2547-2549 จำนวน 75,559,600 บาทแก่โครงการ “จัดตั้งศูนย์ข้อมูลและบริการทางวิทยาศาสตร์และห้องปฏิบัติการ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาอาหารฮาลาลพร้อมโครงข่าย” ของคณะฯ ตามการเสนอของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะเลขานุการของคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล

พ.ศ. 2547 วันที่ 27 พฤษภาคม คณะฯรับมอบอาคารจุฬาพัฒน์ 1 จากมหาวิทยาลัย เริ่มตกแต่งอาคารจุฬาพัฒน์ 1 โดยใช้งบประมาณของคณะฯ ในส่วนการตกแต่งห้องปฏิบัติการการเรียนการสอนและวิจัย คณะฯได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากมหาวิทยาลัย แล้วเสร็จเมื่อ 1 มิถุนายน 2548

วันที่ 5-6 สิงหาคม คณะฯร่วมกับศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลจัดการประชุม “The Technical Meeting on Halal Logo under Sub Implementing Technical Group on Halal Foods, Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle” ณ ห้องประชุมสารนิเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีผู้เข้าร่วมประชุม 25 คนเป็นชาวต่างชาติ 11 คนจากมาเลเซียและอินโดนีเซีย

วันที่ 1 ตุลาคม เริ่มเข้าใช้งานอาคารศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล (จุฬาพัฒน์ 6)

วันที่ 15 ตุลาคม คณะฯร่วมกับองค์การอนามัยโลกจัดการประชุม “The International Symposium on In Search of Better and Effective Food Safety System: Thailand towards Kitchen of the World” เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวโรกาสสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์พระบรมราชินีนาถ พระชนมายุครบ 72 ชันษา ณ โรงแรมสยามซิตี้ กรุงเทพฯ มีผู้ลงทะเบียนร่วมงาน 289 คนเป็นชาวต่างชาติ 22 คนจาก 10 ประเทศ

วันที่ 16 พฤศจิกายน จัดงานวันคล้ายวันเกิดคณะสหเวชศาสตร์ปีที่ 13 ณ ที่ทำการใหม่ของคณะฯนับเป็นการใช้อาคารจุฬาพัฒน์ 1 ครั้งแรก

ธันวาคม สภามหาวิทยาลัยมีมติยกศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล คณะสหเวชศาสตร์ ขึ้นเป็นศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (มติการประชุมครั้งที่ 658) อย่างไรก็ตาม ศูนย์ฯยังดำเนินงานร่วมกับคณะฯอย่างใกล้ชิด

พ.ศ. 2548 วันที่ 24 มกราคม เปิดตัวศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลอย่างเป็นทางการ โดยนายวัฒนา เมืองสุขรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในงานการประชุม The 4th Meeting of the OIC Task Force on SMEs and the Related Exhibition ณ โรงแรมแลนด์มาร์ค ถนนสุขุมวิท กรุงเทพฯ

วันที่ 1 มิถุนายน ทำการย้ายสำนักงานคณบดี สำนักงานเลขานุการ ห้องปฏิบัติการและห้องพักคณาจารย์ของภาควิชาเวชศาสตร์การธนาคารเลือดจากอาคา รวิทยกิตติ์ ชั้น 13 มายังอาคารใหม่ “อาคารจุฬาพัฒน์ 1” ถนนจุฬาลงกรณ์ 12

วันที่ 2 มิถุนายน มหาวิทยาลัยมอบอาคารหอพักนักกีฬา (อาคารจุฬาพัฒน์ 3) พื้นที่ 678 ตารางเมตรแก่คณะฯโดยคณะฯใช้งบประมาณส่วนของโครงการเร่งรัด และศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลในการปรับปรุงเพื่อใช้เป็นอาคารหลักสูตรโภชนาการ และการกำหนดอาหาร และหน่วยปฏิบัติการบริการวิทยาศาสตร์สุขภาพ

วันที่ 30 สิงหาคม เปิดห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์สมชาย นีละไพจิตร และอาคารศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลอย่างเป็นทางการโดยอธิการบดีร่วมกับนายวันมู หะมัดนอร์ มะทา ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและอดีตรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน งบประมาณทั้งหมดในการจัดทำห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์สมชาย นีละไพจิตร จำนวน 1,310,282 บาท ได้มาจากการบริจาคของผู้มีอุปการคุณ (สมชาย นีละไพจิตร คือทนายความจากสภาทนายความที่ช่วยเหลือคณะฯและมหาวิทยาลัยทำคดีให้นิสิตคน หนึ่งของคณะฯระหว่างปี พ.ศ. 2543-2546 ต่อมาได้หายสาบสูญไป)

ภาคปลาย ทำการย้ายการเรียนการสอนของภาควิชากายภาพบำบัดจากอาคารวิทยกิตติ์มาอยู่ที่ อาคารจุฬาพัฒน์ 2 ชั้น 1 และบางส่วนของชั้น 2 รวมพื้นที่ 550 ตารางเมตร ขณะเดียวกัน คณะฯคืนพื้นที่อาคารวิทยกิตติ์ชั้น 13 จำนวน 1,800 ตารางเมตรแก่มหาวิทยาลัย เหลือพื้นที่ไว้สำหรับหน่วยปฏิบัติการบริการวิทยาศาสตร์สุขภาพจำนวน 682 ตารางเมตร

วันที่ 27 ตุลาคม คณะฯร่วมกับศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลจัดการประชุม “The Technical Meeting on IMT-GT Scientific Laboratory Networking for Halal Food Inspection and Accreditation” ณ อาคารจุฬาพัฒน์ 1 คณะสหเวชศาสตร์ มีผู้เข้าร่วม 15 คน เป็นชาวต่างชาติ 4 คน

พฤศจิกายน จัดการประชุมวิชาการสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ครั้งที่ 5 ณ โรงแรมเอเชีย ระหว่างวันที่ 17-18 มีผู้เข้าร่วม 231 คน มีร้านค้าร่วมแสดงนิทรรศการ 10 ร้าน

วันที่ 22 ธันวาคม คณะกรรมการพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน (ก.พ.บ.) อนุมัติงบประมาณปี พ.ศ. 2550-2552 จำนวน 65,250,000 บาทแก่โครงการ “การประยุกต์วิทยาศาสตร์ฮาลาลเพื่อการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมและการส่ง ออกด้านอาหารฮาลาลของประเทศ (โครงการต่อเนื่องจากโครงการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลและบริการทางวิทยาศาสตร์และ ห้องปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมและพัฒนาอาหารฮาลาลพร้อมโครงข่าย)” ของคณะฯ ตามการเสนอของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะ เลขานุการของคณะกรรมการฯ มติดังกล่าวได้รับการรับรองผ่านมติคณะรัฐมนตรีวาระเพื่อทราบจร เรื่องที่ 6 วันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ.2548

พ.ศ. 2549 วันที่ 9 มีนาคม คณะสหเวชศาสตร์และศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลเข้า ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ สถาบันอาหาร และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ร่วมเป็นเจ้าภาพงาน Thailand Halal Hub ณ โรงแรม โซฟิเทล เซ็นทรัล พลาซ่า มีผู้ลงทะเบียนร่วมงาน 323 คน

เมษายน คณะฯได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ส.ส.ว.) จำนวน 5 ล้านบาทเพื่อจัดตั้ง “ศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจผลิตภัณฑ์ฮาลาล” (Business Incubator for Halal Products หรือ BIHAP)

วันที่ 8 พฤษภาคม ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลรับรางวัล Halal Journal Award of Best Innovation in Halal Industry จากนายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย ดาโต๊ะ เสรี อับดุลลา บินหะยี อะหมัด บาดาวี ในงาน World Halal Forum ณ โรงแรม Crowne Plaza Mutiara Hotel กรุงกัวลาลัมเปอร์

ภาคต้น ปีการศึกษา 2549 มีการย้ายห้องปฏิบัติการของภาควิชากายภาพบำบัดจากชั้น 1 อาคารจุฬาพัฒน์ 2 ซึ่งมีขนาดคับแคบไปที่ชั้น 3 อาคารเดียวกัน เพิ่มพื้นที่ห้องปฏิบัติการสองห้องจาก 306 ตารางเมตรเป็น 396 ตารางเมตร จากการอนุมัติของมหาวิทยาลัย โดยคณะฯเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด

กรกฎาคม คณะฯได้รับมอบพื้นที่ธาราบำบัดชั้น 1 อาคาร 100 ปีสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี อาคาร 7 ชั้นที่เพิ่งแล้วเสร็จและจัดสรรเป็นอาคารบริการทางสุขภาพสำหรับ 4 คณะ ทั้งนี้มหาวิทยาลัยจัดสรรพื้นที่บางส่วนของชั้น 1 พื้นที่ทั้งหมดของชั้น 3 และชั้น 4 แก่คณะฯรวมพื้นที่ประมาณ 2,000 ตารางเมตรเพื่อใช้เป็นหน่วยปฏิบัติการบริการวิทยาศาสตร์สุขภาพและด้านอื่นๆ

คณะฯเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติ The First International Halal Science Symposium (attached to the First Thailand Congress of Nutrition) ร่วมกับสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีและเครือข่ายโภชนาการ วันที่ 31 สิงหาคม -2 กันยายน ณ ศูนย์ประชุมไบเทค บางนา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จเปิดงาน มีผู้ลงทะเบียนร่วมงาน 1,200 คน ทูตานุทูต 18 ประเทศ เป็นชาวต่างชาติ 49 คนจาก 13 ประเทศ ทั้งนี้โดยได้รับงบประมาณบางส่วนสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา

กันยายน คณะฯประสบความสำเร็จในการจัดตั้งกองทุนคงยอดเงินต้นจำนวน 50,000,013 บาท โดยเป็นการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยครึ่งหนึ่งตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา ในเดือนนี้คณะฯคืนพื้นที่ส่วนที่เหลือทั้งหมดในอาคารวิทยกิตติ์ ชั้น 13 จำนวน 682 ตารางเมตรแก่มหาวิทยาลัย

ตุลาคม มหาวิทยาลัยเริ่มโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์พื้นที่รอบอาคารจุฬาพัฒน์ 1 และพื้นที่ระหว่างอาคารจุฬาพัฒน์ 1 จุฬาพัฒน์ 2 จุฬาพัฒน์ 3 และจุฬาพัฒน์ 4 กำหนดแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2550